วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2564

 มวยอัจฉริยะที่ประเทศเม็กซิโกที่เสียชีวิต พร้อมคำตอบที่โลกต้องการรู้ที่สุด part 3

จากไปพร้อมคำตอบที่โลกคร่ำครวญหา

แม้ว่าจะมีเมียรวมทั้งลูกๆอีก 2 คนภายในวัยกำลังทารกในระยะเวลาสมัย 80s แต่ว่า ซานเชซ ก็เลิกซิ่งมิได้เสียรู้ ... อย่างเดียวที่เขาเสียตังค์ซื้อความสำราญให้ตนเองเป็น รถยนต์ ว่ากันว่าเขามีรถยนต์สปอร์ตถึง 9 คัน

ช่วงเวลาค่ำคืนของวันที่ 11 ส.ค. 1982 ซัลวาดอร์ ไปนอนแต่ว่าค่ำและก็ตื่นตั้งแต่รุ่งสางตามสไตล์ เขาขับขี่รถปอร์เช่ 928 คู่ใจราวกับทุกวี่ทุกวัน เพียงแค่วันนี้จุดหมายของเขาไม่ใช่โรงยิม แม้กระนั้นมันเป็นการขับตรงไปยัง เกกมะเหรกตาโร เมืองที่อยู่ห่างออกไป 123 ไมล์ และก็โน่นเป็นหนสุดท้ายที่มีคนประสบพบเห็น ซัลวาดอร์ ซานเชซ แบบที่ยังมีลมหายใจ

ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ถนนหลวงเล่าเรื่องในวันนั้นว่า รถยนต์ปอร์เช่ของ ซานเชซ แล่นมาด้วยความเร็วสูงจนถึงขนาดที่ว่าได้ความเร็วไม่ทัน แล้วก็รถยนต์ก็เกิดอุบัติเหตุจากการพยายามแซงรถบรรทุกผลิตภัณฑ์ ซัลวาดอร์ ซานเชซ นักมวยที่เยี่ยมที่สุดที่สมัย เสียชีวิตในจุดเกิดเหตุโดยทันที

คนเสียชีวิตไม่สามารถพูดได้ ... คำนี้ดูเหมือนจะเป็นจริงข้างหลังการเสียชีวิตของ ซัลวาดอร์ ซานเชซ มีคนที่อยู่รอบข้างของเขาคนจำนวนไม่น้อยแสดงทัศนะต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว บ้างก็คิดไปในทางที่ดี บ้างก็คิดไปในทางลบ

โฮเซ่ ติดอยู่เบรร่า คู่ซ้อมของ ซานเชซ กล่าวว่า อันที่จริงแล้ว ซานเชซ จึงควรพาเขาไปด้วย แม้กระนั้นในวันนั้น ติดอยู่เบรร่า ใช้เวลาแปลงชุดจัดเตรียมของนานเหลือเกิน กระทั่งทำให้ ซานเชซ ตกลงใจไม่รอคอยรวมทั้งออกไปก่อน ซึ่งท้ายที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุอย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น โดย ติดอยู่เบรร่า การันตีจุดมุ่งหมายของ ซานเชซ เป็นการไปยังโรงยิมที่ใหม่ของเขาที่ ซาน โฮเซ่ อิตูร์บิเด เมืองกัวท้องนาฮัวโต

แต่ มีหลายคำกล่าวอ้าง บางบุคคลก็กล่าวว่า ซานเชซ กำลังจะเข้าไปในเมืองเพื่อซื้ออัลบั้มเพลงใหม่ คนอื่นพูดว่าเขามีภรรยาน้อยที่เกกมะเหรกตาโร่ แล้วก็วันนั้นเป็นการนัดหมายกันเพื่อไปพบคุณ ท้ายที่สุดแล้วไม่มีผู้ใดกล้าฟันธงกระจ่างว่า ซานเชซ กำลังจะออกเดินทางไปไหน แล้วก็เพราะเหตุใดเขาก็เลยจะต้องมุ่งหน้าไปทาง เกกมะเหรกตาโร่ ทางที่เจ้าตัวไม่เคยขับขี่รถไปเลย ... แต่ว่าที่แน่นอนการถึงแก่กรรมของเขาทิ้งให้เมียวัย 21 ปี รวมทั้งลูกชายวัยขวบครึ่งและก็ 4 เดือน ให้พบเจอโลกที่ไม่มีผู้นำครอบครัว

ปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับ ซานเชซ มีอยู่ 2 อย่าง เรื่องแรกเป็นเขาจะไปไหนรวมทั้งไปทำอะไรก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุคราวนั้นกันแน่ ? ส่วนอีกหัวข้อ เป็นเรื่องราวบนสังเวียนที่ทุกคนไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ ...

เขาบางทีอาจจะมิได้เป็นนักมวยที่เยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ในเวลานั้น แม้กระนั้นเขาก็อยู่บนทางและก็มีคุณลักษณะที่จะไปถึงมันในอนาคต ลองนึกถึง ฟลอยด์ เมย์เวทคุณร์ จูเนียร์ เลิกชกมวยภายหลังเอาชนะ ดิเอโก้เก๋ คอร์พวกเราเลส, รอย โจนส์ จูเนียร์ มิได้สู้กับ กางร์ทุ่งนาร์ด ฮ็อปกินส์ หรือ มูฮัมหมัด อาลี ประกาศเลิกต่อยเมื่อเอาชนะ ชอนนี่ ลิสตัน ... ไฟต์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นของพวกเขาทั้งหมดทั้งปวงนี้ถูกสืบต่อ และก็แต่ละคนก็เติมเต็มประสิทธิภาพกระทั่งถูกเรียกว่าเป็นโคตรมวยก็คงจะไม่ผิดนัก แม้กระนั้น ซัลวาดอร์ ซานเชซ ไม่เคยได้ช่องนั้นเลย

ประสิทธิภาพทั้งสิ้นของ ซัลวาดอร์ ซานเชซ เป็นปัญหา เป็นคำตอบที่โลกต้องการมองเห็นและไม่ได้มองเห็น เขาจะเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของนักมวยทุกรุ่น ทุกคน หรือบางครั้งก็อาจจะล้มเหลวในตอนปลาย ... ไม่มีผู้ใดทราบ เนื่องจากเขาได้ตายใบนี้ไปก่อนวัยอันควรจะ แล้วก็นี่เป็นเรื่องที่น่าอนาถที่สุดของแวดวงมวยอย่างแท้จริง. เทหน้าตัก

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564

 นักสเก็ตท่าทางอัจฉริยะที่มิได้รับการยินยอมรับเนื่องจาก "ผิวดำ" part 3

อัจฉริยะที่มิได้รับการยินยอมรับ

"เมื่อคุณผิวดำ ทุกคนทราบว่าคุณจะต้องทำให้ดียิ่งกว่าสตรีผิวขาว" เซอร์ยา กล่าวกับ Face 2 Face Africa

"ฉันอุตสาหะที่จะปฏิรูปมัน ฉันบากบั่นกระโจนให้ต่างออกไป แต่ว่ามันมิได้รับการยินยอมรับ ฉันหวังจะให้มันเป็นแบบนั้น ก่อนจะเลิกเล่นสเก็ต"

รูปร่างที่สูงโปร่ง ชดช้อยอรชร แล้วก็เค้าหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดู เป็นรูปลักษณ์ของนักสเก็ตลีลาท่าทางหญิงทั่วๆไป มันเป็นอุดมคติของกีฬาประเภทนี้ กระทั่งทำให้มีคำเปรียบเทียบว่าพวกคุณเป็นเสมือน "เจ้าฟ้าหญิงบนลานน้ำแข็ง"

"ในแวดวงสเก็ตลีลาท่าทาง บางโอกาสคุณต้องพบ 'สิ่งที่ผู้ตัดสินอยากได้' คุณลงไปแสดง รวมทั้งมันดีแล้วสวยถูกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนั้น มันราวกับ นักสเก็ตน้ำแข็งที่เพอร์เฟ็คในบอลหิมะ" ทารา ลิปินสกี นักสเก็ตลีลาท่าทางเหรียญทองโอลิมปิกรายงานในสารคดี Losers ของ Netflix

อย่างไรก็ตาม มันมิได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ เซอร์ยา เป็น คุณมีส่วนสูงเพียง 156 ซม. ซึ่งนับว่าไม่สูงสำหรับคนยุโรป แถมร่างกายยังเต็มไปด้วยผูกกล้าม แล้วก็มีผิวที่คล้ำ ซึ่งมิได้ตรงตามขบบกับนักสเก็ตลีลาท่าทางทั่วๆไป

คุณยังมักมากับการแต่งหน้าทาปากแบบจัดเต็ม ฝึกซ้อมหรือแข่งขันในชุดสีสันบาดตา ซึ่งได้รับแรงผลักดันมาจาก ฟลอเรนซ์ กริฟฟิต หน้าจอยเนอร์ นักวิ่งคนอเมริกัน ซึ่งใส่ในโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 ที่โซล ประเทศเกาหลีใต้

ในเวลาเดียวกัน เซอร์ยา ยังมีสไตล์การเล่นสเก็ตลีลาท่าทางที่ต่างจากผู้อื่น จากการที่คุณเคยเล่นยิมนาสติกมาก่อน ทำให้คุณถูกใจกระโจนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ากระโจนหมุนสามรอบ ที่คุณมักใช้สำหรับในการแข่ง

นอกเหนือจากนี้คุณยังถูกใจท่าเล่นท่าตีลังกากลับข้างหลัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นท่าที่ถูกแบนจากการประลองมาตั้งแต่ปี 1976 แม้กระนั้น เซอร์ยา ชอบเล่นท่านี้อยู่เป็นประจำสำหรับเพื่อการฝึกซ้อม แล้วก็แสดงโชว์ ภายหลังทำให้ผู้คนมองเห็นทีแรกในงานโชว์ที่ Annecy ตอนอายุ 12 ปี

"คุณตีลังกากลับข้างหลัง มันบ้ามากมาย ฉันบางทีอาจเรียกตัวเองว่าเป็นนักสเก็ตที่เก่งมากมาย แม้กระนั้นฉันเป็นไปไม่ได้ทดลองทำอย่างนั้นเด็ดขาด" ลิปินสกี กล่าวต่อ

ทำให้หากว่า เซอร์ยา จะเป็นนักสเก็ตท่าทาง ที่สร้างความละลานตา รวมทั้งเป็นที่นิยมในกลุ่มแฟนคลับแม้กระนั้นคุณกลับไม่ค่อยได้รับการต้อนรับในกลุ่มผู้ตัดสิน ที่เห็นว่าคุณเป็นราวกับรอยด่างของแวดวง บางบุคคลถึงขนาดติเตียนชุดของคุณอย่างหนัก

"มันอย่างกับชุดของตัวตลกมากยิ่งกว่า ฉันมีความรู้สึกว่าชุดที่เยี่ยมและก็สง่าผ่าเผยกว่านี้ คงจะสมควรกว่า" วาเนสซา ไรลีย์ ผู้ตัดสินสเก็ตท่าทางพูดถึงชุดฝึกของ เซอร์ยา

รวมทั้งเนื่องจากว่าสเก็ตลีลาท่าทาง เป็นการชิงชัยที่ใช้คะแนนจากผู้ตัดสินเป็นตัววินิจฉัย มันก็เลยทำให้เกิดผลเสียต่อตัวคุณอย่างจัง. เทหน้าตัก

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2564

 เพราะเหตุไรฟรีคิกของ "ชุนซุเกะ นาคามูระ" ก็เลยร้ายกาจ part 4

 แปรแรงกดดันเป็นพลัง

"ผมมิได้มีแนวทางพิเศษอะไรบ้างในการเตะลูกฟรีคิก จนกระทั่งมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผมมีความคิดว่านี่เป็นคุณลักษณะเด่นของผม เมื่อก่อนหน้านั้น ผมมิได้นึกถึงมันขนาดนั้น" นาคามูระ รายงานในหนังสือ 「中村俊輔式 サッカー観戦術」

นาคามูระ บางครั้งอาจจะเป็นนักฟุตบอลที่ฉายแววเด่นมาตั้งแต่ยุคมัธยม ข้างหลังพาโรงเรียนมัธยมศึกษาโทวัว กัคคุเอ็น เข้าชิงแชมป์บอลม. ปลายชิงชนะเลิศแห่งชาติ จนกระทั่งทำให้มีหลายทีมตามตื้อ แต่ว่าฝีมือสำหรับเพื่อการเตะลูกฟรีคิกของเขาตอนนั้นมิได้สะดุดตาขนาดนี้

แม้กระนั้นจุดแปลงของเขาก็มาถึงในปี 1997 เมื่อการย้ายมาอยู่กับมารินอส ทำให้เขาได้รับภาระหน้าที่ที่หนักตั้งแต่ปีแรกในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ โน่นเป็นการได้รับมอบหมายให้เป็นคนเตะลูกฟรีคิกของกลุ่ม

"ตอนปีแรกที่ผมย้ายมามารินอส ผู้ฝึกสอน (ฮาเวียร์) อัซกา คอร์ตา บอกผมที่ในขณะนั้นเพิ่งจะอายุ 18 ว่า 'นายเป็นคนเตะลูกฟรีคิก' สำหรับในการฝึกผมมีรุ่นพี่ที่ยอดเยี่ยมอีกทั้ง มาซาไม่ อิฮาระ, โนริโอะ โอมูระ และก็โชจิ โจ ยืนเป็นกำแพง ผมก็เลยจะยิงไปโดนพวกเขามิได้ แถมโกลก็เป็น (คาวางุจิ) โยชิคัตสึซัง" นาคามูระกล่าวกับ Gendai Business

"ถ้าเกิดยิงไปโดนพวกเขามันไม่ดีแน่ ผมก็เลยจำเป็นต้องยิงให้เข้าภายใต้เหตุการณ์ที่บีบคั้นนั้น เนื่องจากว่าผมเป็นเด็กใหม่แต่ว่าได้เป็นคนเตะ ก็เลยจำต้องรับผิดชอบด้วยการยิงให้เข้าในเกม แม้กระนั้นแรงกดดันโดยตลอดอย่างงั้นก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากมาย"

มันก็เลยทำให้ นาคามูระ มานะฝึกหัดในประเด็นนี้อย่างมาก หากว่าเขาจะเป็นผู้ที่เตะบอลเจริญอยู่แล้ว แต่ว่ามันก็ไม่พอสำหรับมือโปร เขาก็เลยมักใช้เวลาอีกทั้งก่อนและก็ข้างหลังฝึกซ้อมไปการเตะลูกฟรีคิก โดยมี โยชิคัตสึ คาวางุจิ ผู้เฝ้าประตูกลุ่มชาติประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ช่วย

"โยชิคัตสึซัง ช่วยฝึกซ้อมอย่างรู้เรื่องในตัวรุ่นน้องอย่างผม เขารอให้คำปรึกษาจากมุมมองของผู้เฝ้าประตู การที่ผมได้ฝึกกับผู้เฝ้าประตูกลุ่มชาติประเทศญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ ทำให้ผมสามารถยิงได้โดยไม่กลัวสำหรับในการชิงชัย" นาคามูระ กล่าวต่อ

ประสบการณ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วได้ทำให้ นาคามูระ ดูแรงกดดันในทางดีเสมอ เขาเห็นว่ามันเป็นกำลังขับเขยื้อนทำให้เขามานะปรับปรุงฟรีคิกของตนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดมาตลอด แม้กระทั้งยุคที่ค้าหน้าแข้งในเมืองนอก

"ในเซเรียอา อิตาลี การแอบทำโดยไม่ให้ผู้ตัดสินทราบนั้นคือเรื่องธรรดา กำแพงบางครั้งก็อาจจะพากเพียรเข้ามาใกล้หรือตอนเตะมุมอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเหรียญลอยมาจากบนอรรธจันทร์" ลำแข้งคนประเทศญี่ปุ่นกล่าวต่อ

"หรือในสนามฝึกซ้อมของเรจจินา เสาโกลเป็นแบบฝังอยู่ในดิน ความสูงของโกลก็บางครั้งก็อาจจะต่ำลงเวลาเล่น เพราะฉะนั้นสำหรับเพื่อการฝึกคุณก็เลยจำเป็นต้องอุตสาหะยิงบอลให้ลอดลงต่ำจากกำแพงที่อุตสาหะเข้ามา"

มันเป็นความท้าที่ นาคามูระ จำเป็นต้องก้าวผ่านให้ได้ จนถึงทำให้เขาแปลงเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิงฟรีคิกเจริญที่สุดในโลก ที่แม้กระทั้งฝรั่งยังให้การสารภาพ

"สิ่งที่ผมศึกษาจากต่างแดน เป็นการได้รับการวางใจและก็สารภาพจากทุกคน ผมมีความรู้สึกว่าแรงกดดันทุกแบบมันอยู่ในนั้น ที่ทำให้มันก่อตัวมาเป็นฟรีคิกในสไตล์ของผมในขณะนี้"

นี่เป็นสิ่งที่ชายคนหนึ่งใช้เวลาบ่มเพาะมากมายว่า 20 ปี แล้วก็ทำให้จอมบุกของ โยโกฮามา เอฟซี ยังคงเป็นนักฟุตบอลที่ประมาทมิได้ ถึงแม้ในตอนนี้จะแก่สัมผัสเลข 4 ไปและก็ตาม. เทหน้าตัก


วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2564

 เจ็บ - ปวด - รวด - ร้าว : ข้างหลังม่านการบรรลุผลบนคราบเปื้อนน้ำตาของนักกีฬาประเทศเกาหลีใต้ part 3


เค้าหน้า แล้วก็ความอับอายขายหน้า

สำหรับประเทศเกาหลีใต้ กีฬาเป็นหนึ่งในเครื่องไม้เครื่องมือโปรโมทประเทศ ไม่มีความต่างจากแวดวงดนตรี หรือภาพยนตร์ ซึ่งในอดีตกาลก่อนหน้าที่ผ่านมา พวกเขาได้ใช้เกมการประลองเป็นวัสดุแสดงความใหญ่โตของประเทศอยู่หลายครา ไม่ว่าจะเป็น การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เกมส์ 1988 รวมทั้งเจ้าของงานร่วมบอลโลก กับประเทศญี่ปุ่น ในปี 2002

การที่นักกีฬาทำผลงานในฐานะผู้แทนของชาติได้ดีเยี่ยม เป็นการบรรลุเป้าหมายเป็นอันมากของพวกเขา เพราะว่านอกเหนือจากความโด่งดังที่ได้รับ พวกเขาจะได้รับการสรรเสริญเป็นวีรบุรุษของประเทศ และก็มีสิทธิพิเศษไม่เหมือนกับผู้อื่น เป็นต้นว่า ได้รับสิทธิ์ผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร สำหรับนักกีฬาชาย จาก 2 ปี เหลือเพียงแค่การฝึกหัดฐานราก 4 อาทิตย์เพียงแค่นั้น

ตรงกันข้าม แม้นักกีฬาชาวประเทศเกาหลีใต้ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง พวกเขาจำเป็นต้องเจอกับการจู่โจมจากภาคพสกนิกรอย่างมากมาย

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในสังคมประเทศเกาหลีใต้ ว่ารัฐบาลของพวกเขาได้ทุ่มงบประมาณจำนวนหลายชิ้น ไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพด้านกีฬาของประเทศ เพื่อส่งเสริมให้นักกีฬาของชาติ แสดงความเป็นยอดเหนือประเทศอื่น แล้วก็การลงทุนนี้ทำให้สามัญชนชาวประเทศเกาหลี มุ่งหวังผลงานที่ดีจากนักกีฬากลุ่มชาติอยู่เป็นประจำ

เพราะฉะนั้น แม้นักกีฬาทำผลงานได้ไม่ตามเป้า พวกเขาจะถูกจู่โจมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการไปโห่ไล่ที่ท่าอากาศยาน ไปจนกระทั่งจู่โจมอย่างเสียหายผ่านโลกอินเทอร์เน็ต

อาทิเช่นในบอลโลก 2018 ถึงแม้กลุ่มชาติประเทศเกาหลีใต้ จะสามารถเอาชนะอดีตกาลแชมป์โลกอย่างเยอรมันได้อย่างงดงาม แต่ว่าด้วยผลงานที่ไม่เข้ารอบแรก ทำให้ขุนศึก เดอะ ไทเกอร์ส ถูกจู่โจมอย่างมากจากชาวประเทศเกาหลีใต้ จนกระทั่งกำเนิดเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า ด้วยผลงานการเอาชนะกองทัพอินทรีเหล็ก นักบอลกลุ่มชาติประเทศเกาหลีใต้ควรจะถูกว่ากล่าวเรื่องผลงานที่ล้มเหลวหรือเปล่า ?

ท้ายที่สุดแล้ว นักกีฬาชาวประเทศเกาหลีใต้ยังจำเป็นต้องพบเจอความคาดหมายเป็นอันมากจากแฟนคลับโดยเฉพาะแม้เป็นนักกีฬากลุ่มชาติ ซึ่งไม่มีพื้นที่ว่างให้กับข้อผิดพลาดแม้กระทั้งนิดหนึ่ง

ชีวิตการเป็นนักกีฬาของคนประเทศเกาหลีใต้ก็เลยมิได้โรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ แม้กระนั้นจำเป็นต้องเจอหน้ากับบททดลองมากไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งยังการฝึกฝนอย่างมาก แรงกดดัน แล้วก็ความเคร่งเครียด ที่ถั่งโถมเข้าใส่ตลอดระยะเวลา ผ่านการฝึกหัดที่ครัดเคร่ง แล้วก็เป็นจริงเป็นจัง ไปจนกระทั่งความมุ่งมาดจากมหาชน

วิถีทางของประเทศเกาหลีใต้เป็นราวกับดาบสองคม ในทางหนึ่งได้ช่วยสร้างนักกีฬาสุดยอดขึ้นมาเยอะมาก รวมทั้งฝากผลงานให้แฟนกีฬาทั้งโลกได้จำ แต่ว่าอีกด้านได้ทำลายความฝัน ความสำราญสำหรับในการเล่นกีฬาของคนอีกจำนวนไม่น้อยไปนิรันดร. เทหน้าตัก

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2564



 ขุนศึก "กาลาคติกอส" และก็ชีวิตสุดขั้วข้างหลังห้อยสตั๊ด part 3

        
กำเนิดใหม่ในฐานะโคตรเซียน

ภายหลังจากย้ายออกจาก เรอัล มาดริด กราเวอบวงสรวง ก็โดนขายให้กับ กลาสโกว์ เซลติเตียนก ก่อจะกลับมาเล่นให้กับ เอฟเวอร์ตัน ช่วงสั้นๆในฤดูกาล 2007-08 และก็ในที่สุดก็ห้อยสตั๊ดไป

ทางนักเตะบางครั้งก็อาจจะจบไม่สวยนัก แต่ว่าโน่นเป็นการเริ่มต้นทางเดินใหม่ในชีวิตของเขา โน่นเป็นการเป็นนักโป๊กเกอร์ ... เขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?

นักเตะทุกคนล้วนแล้วแต่นึกถึงตนเองในวัยเกษียณอายุทั้งหมด พวกเขาทราบว่าตนเองจะขาดรายได้ก้อนโต แล้วก็จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมกับเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป

สำหรับ กราเวอสังเวย ในวัย 33 ปี เมื่อประกาศเลิกเล่นก็ดำรงชีวิตแบบเต็มที่ เขานำเงินเก็บที่มี อ้างอิงจากค่าจ้าง 85,000 ปอนด์ต่ออาทิตย์ในตอนที่เล่นให้กับ มาดริด มาฯลฯทุนสำหรับการเดินทางไป ลาส เวกัส ดินแดนที่การพนันและก็คาสิโนที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา จุดมุ่งหมายของเขาเป็นมิได้มาเล่นแล้วกลับ แม้กระนั้นมาเพื่อเล่นอย่างมือโปร

เขาเริ่มจากการเป็นลูกค้าประจำในโต๊ะคาสิโน เขาเล่นอีกทั้งกางล็คแจ็ค และก็ โป๊กเกอร์ ซึ่งเผยเอาคราวหลังว่านี่เป็นเกมโปรดของเขายุคที่ยังเป็นนักเตะ เนื่องจากว่าเวลาเดินทางไปสนามสำหรับแข่งต่างบ้านต่างเมือง เขาชอบใช้การเล่นไพ่กับเพื่อนฝูงๆเป็นการฆ่าเวลา แล้วก็แน่ๆเขาถูกใจมันตั้งแต่วันนั้น ก่อนจะถึงเวลาเอาความพอใจมาเป็นอาชีพภายหลังจากเลิกเล่น

"ผมย้ายไปอยู่ เวกัส เลย เนื่องจากสำหรับอาชีพนักโป๊กเกอร์นั้น ที่ยุโรปไม่ค่อยมีผู้ใดกันถูกใจนักและไม่มีทัวร์นาเมนต์ให้เล่น ผมมาอยู่อเมริกา ผมได้รับการก้าวก่ายจากสื่อลดลงรวมทั้งคลายความเครียดมากเลย ผมอยู่อเมริกาในฐานะคนๆหนึ่ง ไม่ใช่อดีตกาลนักเตะที่มีชื่อของพรีเมียร์ลีกหรือเดนมาร์ก"

เมื่อเป็นมือโปร เขาพบว่าความถนัดยุคนักเตะช่วยเขาได้มาก เพราะเหตุว่าโป๊กเกอร์นับว่าเป็นเกมที่จำต้องคิดหลายต่อ นึกถึงคู่ปรับ และก็สงบนิ่ง ใช้จิตที่แข็งสำหรับการแอบซ่อนสีหน้าท่าทางสำหรับไพ่ที่อยู่ในมือ แล้วก็ที่สำคัญเมื่อแน่ใจว่าเหนือชั้นกว่า ควรไปให้สุดทาง ทุ่มให้หมดหน้าตัก และก็จะต้องอาศัยความวิกลจริตบิ่นพอควร ซึ่งทั้งสิ้นเป็นค้างแร็คเตอร์ของชายที่ถูกเรียกว่า "สุนัขบ้า" อย่าง กราเวอบวงสรวง

ไม่มีการเปิดเผยแบบกระจ่าง 100% ว่าเขามีรายได้มากแค่ไหน แม้กระนั้น BT Sport สื่อในอังกฤษพูดว่าเขาชอบปรากฎตัวพร้อมทั้งรถยนต์สปอร์ต เมอร์เซเดส เอสแอลอาร์ แม็คลาเรน นอกนั้นเขายังเป็นหุ้นส่วนสำหรับในการเปิดร้านค้าที่ ลาส เวกัส ด้วย และก็มีข่าวโคมลอยว่าเขาเคยทำเงินได้ถึง 100 ล้านปอนด์ มากยิ่งกว่าที่เขาเตะบอลมากยิ่งกว่า 20 ปีด้วยไป

"ผมรับรองได้ว่าเขาทำเงิน 80 ล้านปอนด์ แต่ว่ามันก็ไม่ง่ายนะที่จะรักษามันไว้ เพราะเหตุว่าการประลองที่ เวกัส รุนแรง ว่ากันว่าบางคืนมีชายคนหนึ่งเสียตังค์คืนเดียว 54 ล้านปอนด์ ผมบอกมิได้หรอกว่าคนคนนั้นเป็นคนใดกัน" หนึ่งในผู้ใช้กระดานข่าวสารของคอโป๊กเกอร์อย่าง Two Plus Two ว่าแบบนั้น

ระหว่างที่แมกกาซีน FourFourTwo เคยไถ่ถามกับ กราเวอสังเวย ในหัวข้อนี้ว่า ใช่หรือไม่ที่เขาทำเงิน 100 ล้านปอนด์ ? เขาตอบกลับเพียงว่า "100 ล้านเองหรอ แล้วเงินที่เหลือของผมจะเรียกว่าอะไรดี ?" ซึ่งก็ยังคลุมเคลือว่าเขาพูดทีเล่นทีจริง หรือบอกแบบเอาจริงเอาจัง แต่ว่าที่แน่นอนเขามองสุขสบายดี สวมเสื้อผ้าราคาสูง หน้าตายิ้มแย้ม รวมทั้งรักษารูปร่างเอาไว้ได้เช่นเดียวกับที่ยุคที่ยังเป็นนักฟุตบอลอย่างยิ่งจริงๆ

"ผมอยู่ที่ เวกัส มาแล้ว 8 ปี ตรงนี้ยังคงมีอะไรน่าทึ่งไม่หยุดหย่อน คนอเมริกาเปิดใจต้อนรับผม บ้านผมอยู่ใกล้ๆกับบ้านของ นิโคลาส เคจ รวมทั้ง อังเดร อากัสซี่ ด้วยนะ ก็แค่ข้างหลังๆผมรับงานเกี่ยวกับนักวิพากษ์วิจารณ์บอลเป็นประจำทำให้ผมจำต้องกลับไปที่เดนมาร์กบ่อยมากขึ้นด้วย ว่าก็ว่าเถิด ผมนึกถึงบอลไม่น้อยเลย"

ไม่ว่าตอนไหนของชีวิต กราเวอบวงสรวง ก็ได้เล่นบทเรียนมากไม่น้อยเลยทีเดียวรวมทั้งวางตัวในแบบที่ตนเองเป็นตลอดมา เขาเป็นผู้ที่ตั้งใจจริงกับสิ่งต่างๆมาก แต่ว่าความยอดเยี่ยมที่จริงจริงเป็นเพียงแค่ทราบว่าตนเองถูกใจอะไรก็ไปให้สุดทาง ติดอยู่แร็คเตอร์ แล้วก็ตัวตนของเขาส่งให้ กราเวอสังเวย ประสบผลสำเร็จกับทางนักบอล และก็ ทางนักโป๊กเกอร์ ... ไม่ว่าที่สุดแล้ว 100 ล้านปอนด์ หรือประมาณ4 พันล้านบาท ของเขาจะมีใช่หรือไม่ โน่นไม่ใช่ใจความสำคัญ

เขาเป็นสุขดี สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง รวมทั้งมีชีวิตข้างหลังเกษียณอายุที่แฮปปี้ โน่นเป็นสิ่งที่น่าอิจฉา แม้กระทั้งนักฟุตบอลระดับนานาชาติบางบุคคลยังสบายและก็ลอยตัวอย่างเขามิได้เลยด้วยไป. เทหน้าตัก